ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาษาไทยวรรณคดีและวรรณกรรม ม.4


สารบัญ


บทที่1 คำนมัสการคุณานุคุณ


          คำนมัสการคุณานุคุณ เป็นผลงานการประพันธ์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อยอาจารยางกูร) มีเนื้อหาว่าด้วยการน้อมรำลึกและสำนึกในคุณงามความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา และครูอาจารย์ โดยมีความมุ่งหมายให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนไทย ยึดมั่นในความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและนำแบบอย่างอันดีงามไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

๑.      ความเป็นมา

คำนมัสการคุณานุคุณที่คัดมาให้ศึกษามีเนื้อหาแบ่งออกเป็น ๕ ตอน แต่ละตอนมีที่มาจากคาถาภาษาบาลี ดังนี้

คำนมัสการพระพุทธคุณ : อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวาพุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ

-                   พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

      คำนมัสการพระธรรมคุณ :สวาก ขาโต ภะคะวะตา ธัมโมธัมมังนะมัสสามิ

      คำนมัสการพระสังฆคุณ : สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆสังฆัง นะมามิ

     คำนมัสการมาตาปิตุคุณ : มารดาทั้งสองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณอันหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขอไหว่เท้าทั้งสองของมารดาบิดาของข้าพเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูง

     คำนมัสการพระอาจริยคุณ ครูอาจารย์ผู้ใหญ่และผู้น้อยทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีพระคุณอันประเสริฐยิ่ง ได้อบรมสั่งสอนให้ศิษย์มีวิชาความรู้ ได้ให้โอวาทตักเตือนด้วยเมตตาธรรม ข้าพเจ้าขอกราบไว้คุณครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ

๒.    ประวัติผู้แต่ง

          พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารกูร) เป็นนักปราชญ์คนสำคัญของไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รอบรู้ในวิชาภาษาไทยและได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นครูที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม อุทิศชีวิตเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติอีกด้วย

๓.    ลักษณะคำประพันธ์

         คำนมัสการคุณานุคุณแต่ละตอนแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทต่างๆดังนี้

         ๓.๑ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

               อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่นำมาแต่งคำนมัสการคุณานุคุณ มาตาปิตุคุณ และอาจริยคุณ มีลักษณะบังคับ ดังแผนผังต่อไปนี้


   ๓.๒ กาพย์ฉบัง ๑๖

                    กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่นำมาแต่งคำนมัสการพระธรรมคุณและพระสังฆคุณมีลักษณะบังคับ ดังแผนผังต่อไปนี้


      ๔.    เนื้อเรื่อง
                                                       คำนมัสการพระพุทธคุณ

   อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑


                                             องค์ใดพระสัมพุทธ              สุวิสุทธะสันดาน
                                             ตัดมูลกิเลสมาร                   บ่มิหม่นมิหมองมัว
                                             หนึ่งในพระทัยท่าน             ก็เบิกบานคือดอกบัว
                                             ราคีบ่พันพัว                         สุวคนธะกำจร
                                             องค์ใดประกอบด้วย            พระกรุณาดังสาคร
                                             โปรดหมู่ประชากร              มละโอฆะกันดาร
                                             ชี้ทางบรรเทาทุกข์                และชี้สุขเกษมสานต์
                                             ชี้ทางพระนฤพาน                อันพ้นโศกวิโยคภัย
                                            พร้อมเบญจพิธจัก-              ษุจรัสวิมลใส
                                             เห็นเหตุที่ใกล้ไกล               ก็เจนจบประจักษ์จริง
                                            กำจัดน้ำใจหยาบ                 สันดานบาปแห่งชายหญิง
                                            สัตว์โลกได้พึ่งพิง                มละบาปบำเพ็ญบุญ
                                            ลูกขอประณตน้อม              ศิรเกล้าบังคมคุณ
                                            สัมพุทธการุญ-                    ยภาพนั้นนิรันดร ฯ
                                                   

คำนมัสการพระธรรมคุณ

กาพย์ฉบัง ๑๖



                 ธรรมะคือคุณากร

ส่วนชอบสาธร

ดุจดวงประทีปชัชวาล

            แห่งองค์พระศาสดาจารย์ 

ส่องสัตว์สันดาน

สว่างกระจ่างใจมล

            ธรรมใดนับโดยมรรคผล 

เป็นแปดพึงยล

และเก้านับทั้งนฤพาน

            สมญาโลกอุดรพิสดาร 

อันลึกโอฬาร

พิสุทธิ์พิเศษสุกใส

            อีกธรรมต้นทางครรไล

นามขนานขานไข

ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง

            คือทางดำเนินดุจครอง

ให้ล่วงลุปอง

ยังโลกอุดรโดยตรง

            ข้าขอโอนอ่อนอุตมงค์ 

นบธรรมจำนง

ด้วยจิตและกายวาจาฯ 

คำนมัสการพระสังฆคุณ

กาพย์ฉบัง ๑๖



สงฆ์ใดสาวกศาสดา

รับปฏิบัติมา

แต่องค์สมเด็จภควันต์

เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร-

ลุทางที่อัน

ระงับและดับทุกข์ภัย

โดยเสด็จพระผู้ตรัสไตร

ปัญญาผ่องใส

สะอาดและปราศมัวหมอง

เหินห่างทางข้าศึกปอง

บ มิลำพอง

ด้วยกายและวาจาใจ

เป็นเนื้อนาบุญอันไพ-

ศาลแด่โลกัย

และเกิดพิบูลย์พูนผล

สมญาเอารสทศพล

มีคุณอนนต์

อเนกจะนับเหลือตรา

ข้าฯ ขอนบหมู่พระศรา-

พกทรงคุณา-

นุคุณประดุจรำพัน

ด้วยเดชบุญข้าอภิวันท์

พระไตรรัตน์อัน

อุดมดิเรกนิรัติศัย

จงช่วยขจัดโพยภัย

อันตรายใดใด

จงดับและกลับเสื่อมสูญ ฯ 






                                                              คำนมัสการมาตาปิตุคุณ
 อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

                                                   ข้าขอนบชนกคุณ                 ชนนีเป็นเค้ามูล
                                                   ผู้กอบนุกูลพูน                      ผดุงจวบเจริญวัย
                                                   ฟูมฟักทะนุถนอม                 บ บำราศนิราไกล
                                                   แสนยากเท่าไรไร                  บ คิดยากลำบากกาย
                                                   ตรากทนระคนทุกข์               ถนอมเลี้ยง ฤ รู้วาย
                                                   ปกป้องซึ่งอันตราย                จนได้รอดเป็นกายา
                                                   เปรียบหนักชนกคุณ               ชนนีคือภูผา
                                                   ใหญ่พื้นพสุนธรา                   ก็ บ เทียบ บ เทียมทัน
                                                    เหลือที่จะแทนทด                 จะสนองคุณานันต์
                                                    แท้บูชไนยอัน                        อุดมเลิศประเสริฐคุณ



คำนมัสการอาจริยคุณ

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑



อนึ่งข้าคำนับน้อม

ต่อพระครูผู้การุณย




โอบเอื้อและเจือจุน

อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์

ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ

ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน

ชี้แจงและแบ่งปัน

ขยายอรรถให้ชัดเจน

จิตมากด้วยเมตตา

และกรุณา บ เอียงเอน

เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์

ให้ฉลาดและแหลมคม

ขจัดเขลาบรรเทาโม

หะจิตมืดที่งุนงม

กังขา ณ อารมณ์

ก็สว่างกระจ่างใจ

คุณส่วนนี้ควรนับ

ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร

ควรนึกและตรึกใน

จิตน้อมนิยมชม



บทวิเคราะห์

คุณค่าด้านเนื้อหา

๑.     คำนมัสการพระคุณ มีเนื้อหาสำคัญคือ การสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า

๒.   คำนมัสการพระธรรมคุณ พระธรรมคือ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

๓.    คำนมัสการพระสังฆคุณ ถ้าพรพุทธองค์ไม่ได้ทรงสถาปนาคณะสงฆ์ขึ้นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบย่อมสูญสิ้นไปพร้อมกับเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน

๔.    คำนมัสการมาตาปิตุคุณ มารดาบิดาเป็นผู้มีพระคุณก่เราเพราเป็ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเราโดยไม่หวังผลตอบแทน

๕.    คำนมัสการอาจริยคุณ เนื่องด้วยครูอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณแก่เราเพราะเป็นผู้อบรมสั่งสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เรา

คุณค่าด้านกลวิธีการแต่ง

๑.     การเลือกสรรคำเหมาะกับเนื้อเรื่อง กวีเลือกสรรถ้อยคำนำมาใช้ได้อย่างไพเราะเหมาะสม

๒.   การเลือกสรรคำที่มีเสียงเสนาะ กวีใช้ความงามและเสียงเสนาะในการอ่าน นอกเสียงโดยการใช้สัมผัสอักษรละสัมผัสสระ ได้แก่ สัมผัส การเล่นคำ

๓.    ภาพพจน์ กวีใช้การเปรียบเทียบแบบอุปมาเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น

              เมื่อประมวลความดีเด่นด้านเนื้อหาและวรรณศิลป์แล้ว คำนมัสการคุณานุคุณจึงถือว่ามีความครบเครื่องในเรื่องคุณค่าทางวรรณกรรม ควรแก่การท่องจำ เพื่อเป็ยเครื่องช่วยกำกับกาย วาจา ใจ และเตือนสติให้ทุกคนโดยเฉพาะเยาวชนไทยได้สำนึกและน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา และครูอาจารย์ สมดังเจตนารมณ์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ผู้ประพันคำนมัสการคุณานุคุณ

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=55idf0Kl-sI

บทที่2 เรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง



บทที่ ๒

 อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง

แนวคิด

           อิเหนา เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องของบทละครลำ เพราะเป็นหนังสือซึ่งแต่งดีทั้งกลอน ทั้งความ และทั้งกระบวนการที่ตะเล่นละครประกอบการ และยังเป็นหนังสือที่ดี ในทางที่ตะศึกษาประเพณีไทยสมัยโบราณ  แม้บทละครเรื่องอิเหนาจะมีเค้าโครงมาจากนิทานพื้นเมืองของชาวชวา  เอกสารที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

  ๒.๑ ความเป็นมา

  ๒.๒ ประวัติผู้แต่ง

  ๒.๓ ลักษณะคำประพันธ์

   ๒.๔ เรื่องย่อ

  ๒.๕ เนื้อเรื่อง

   ๒.๖ คำศัพท์

   ๒.๗ บทวิเคราะห์

ความเป็นมา

           อิเหนา เป็นวรรณคดีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งชาวชวาได้แต่งขึ้นเอเฉลิมพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์ ชวาพระองค์นี้ทรงนำความเจริญให้แก่ชาวชวา ซึ่งพระองค์เป็นทั้งนักรบ นักปกครอง และพระองค์ทรงมี พระราชธิดา ๑ พระองค์ และพระราชโอรส ๒ พระองค์ เมื่อพระราชธิดาของพระองค์ได้ทรงเสด็จออกผนวช จึงได้แบ่งราชอาณาจักรเป็น ๒ ส่วน คือกุเรปัน และ ดาหา

        ต่อมาท้าวกุเรปันได้ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง และท้าวดาหาทรงมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ซึ่งทั้งสองพระองค์มีพระนามว่า อิเหนาและบุษบา เมื่อเจริญพระชันษา อดีตพระราชธิดาของกษัตริย์พระองค์เดิมที่เสด็จออกผนวช จึงมีพระดำริให้อิเหนาและบุษบาอภิเษกกัน เพื่อให้กุเรปันและดาหากลับมารวมกันเป็นราชอาณาจักรเดียวกันดั่งเดิม

       เนื่องจากนิทานอิเหนาเป็นเรื่องราวที่ได้รับความนิยมจากชาวชวาเป็นอย่างมาก เนื้อเรื่องจึงปรากฏเป็นหลายสำนวน และเมื่อได้เข้ามาสู่ประเทศไทย มีคำกล่าวสืบเนื่องกันมาว่าพระราชิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับเจ้าฟ้าสังวาล  คือ  เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎได้ฟังนิทานอิเหนาจากนางกำนัลชาวมลายูที่ได้มาจากเมืองปัตตานี พระราชธิดาทั้งสองพระองค์จึงมีพระราชธิดาจึงมีพระราชนิพนธ์ขึ้นนิทานเรื่องนี้ขึ้น เจ้าฟ้ากุณฑลทรงนิพนธ์บทละครเรื่องของดาหลัง ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎทรงนิพนธ์เป็นละครเรื่อง  อิเหนา  แต่คนทั่วไปมักเรียกบทพระราชนิพนธ์ของทั้งสองพระองค์นี้ว่า อิเหนาใหญ่ และอิเหนาเล็ก  นิทานปันหยีของไทยจึงมี ๒ สำนวนแต่นั้นมา

       สมัยรัตนโกสินทร์  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร อิเหนา ขึ้น โดยยังคงเค้าโครงเรื่องเดิม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชนิพนธ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เนื่องจาก เนื้อความเข้ากันไม่สนิทกับบทเมื่อครั้งกรุงเก่าและนำมาเล่นละครได้ไม่เหมิจึงทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ให้สั้นและสอดคล้องกับท่ารำโดยรักษากระบวนการเดิม แล้วพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีซึ่งเชี่ยวชาญในการละคร ได้นำไปประกอบท่ารำและฝึกซ้อมจนเห็นสมควรว่าดี แล้วจึงรำถวายให้ทอดพระเนตรเพื่อให้มีพระบรมราชวินิจฉัยอีครั้งเป็นอันเสร็จ



ประวัติผู้แต่ง

        อิเหนาเป็นบทละครรำพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมหาราช รัชกาลที่ ๒ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ เป็นสมัยที่วรรณคดีเจริญที่สุดในสมัยนี้หลาย เรื่องได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของวรรณคดี  และทรงได้รับการเทิดพระเกียรติจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในฐานะบุคคลสำคัญของโลก

ลักษณะคำประพันธ์

     บทละครรำ เรื่อง อิเหนา มีรูปแบบการแต่งกลอนบทละครซึ่งมีลักษณะบังคับเหมือนกลอนสี่สุภาพ แต่ละวรรคมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า “เมื่อนั้น” “บัดนั้น” และ “มาจะกล่าวบทไป”

   แผนผังและตัวอย่างบทละคร

                                 บัดนั้น                                                   ดะหมังผู้มียศถา

                      นับนิ้วบังคมคัลวันทา                                       ทูลถวายสาราพระภูมี

                                  เมื่อนั้น                                                  ระตูหมันหยาเรืองศรี

                       รับสารมาจากเสนี                                             แล้วคลี่ออกอ่านทันใด



เรื่องย่อ

               เนื้อเรื่อง อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง มีดังนี้

          ท้าวกะหมังกุหนิงส่งทูตไปสู่ขอบุษบา แต่ได้รับการปฏิเสธจากท้าวดาหาจึงเตรียมจัดยกทัพไปตีเมืองดาหาโดยให้พระอนุชา ยกทัพมาช่วย ท้าวกะหมังกุหนิงให้วิหยาสะกำเป็นทัพหน้า พระอนุชาทั้งสองเป็นทัพหลัง

         ฝ่ายท้าวดาหาได้ขอความช่วยเหลือไปยังท้าวกุเรปัน และท้าวกาหลัง และท้าวสิงหาส่าหรี ท้าวกุเรปันส่งราชสารฉบับหนึ่งส่งให้อิเหนายกทัพมาช่วยท้าดาหาทำศึก อีกฉบับส่งไปให้ระตูหมันหยาโดยตำหนินางจินตหราว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดศึกครั้งนี้ ระตูหมันหยารู้สึกผิดจึงเร่งให้อิเหนายกทัพไปเมืองดาหา ส่วนท้าวกาหลังให้ตำมะหงงกับดะหมังคุมทัพมาช่วย  ท้าวสิงหัดส่าหรีส่งสุหรานากงผู้เป็นโอรสมาช่วยรบ

      เมื่อทะที่ช่วยเมืองดาหารบมาครบกันแล้ว  อิเหนามีบัญชาให้จักทัพรบกับท้าวกะหมังกุหนิง

ครั้นทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน  สังคามาระตาเป็นคู่ต่อสู้กับวิหยาสะกำและสังหารวิหยาสะกำได้ ท้ากะหมังกุหนิงเห็นโอรสถูกสังหารตกจากม้าก็โกรธ ขับม้าไล่ล่าสังคามาระตา อิเหนาจึงเข้าสกัดและต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายฝีมือเท่าเทียมกัน จนในที่สุดอิเหนาจึงใช้กริชสังหารท้าวกะหมังกุหนิงได้ ทัพฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป

เนื้อเรื่อง

ท้าวกะหมังกุหนิงปราศรัยกับระตูปาหยังและท้าวปะหมัน

                                 เมื่อนั้น                                    ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี

                    เสด็จเหนือแท่นรัตน์มณี                       ภูมีเห็นสองอนุชา

                    จึงตรัสเรียกให้นั่งร่วมอาสน์                 สำราญราชหฤทัยหรรษา

                    แล้วปราศรัยระตูบรรดามา                    ยังปรีดาผาสุกหรือทุกข์ภัย

                    ซึ่งเราให้มาในทั้งนี้                              จะไปตีดาหากรุงใหญ่

                    ระตูทุกนครอย่านอนใจ                       ช่วยเราชิงชัยให้ทันการ

                                                              ฯลฯ

                                    

                                        ท้าดาหาเสด็จออกรับทูตกะหมังกุหนิง

                                      เมื่อนั้น                                พระองค์ทรงพิภพดาหา

                        ครั้นสุริย์ฉายบ่ายสามนาฬิกา             ก็โสรจรงคงคาอ่าองค์

                        ทรงเครื่องประดับสรรพเสร็จ            แล้วเสด็จย่างเยื้องยูรหงส์

                         ออกยังพระโรงคัลบรรจง                  นั่งลงบนบัลลังก์รูจี

                         ยาสาบังคมบรมนาถ                           เบิกทูตถือราชสารศรี

                         จึงดำรัสตรัสสั่งไปทันที                     ให้เสนีนำแขกเมืองมา

                                                                   ฯลฯ

                                     ท้าวกุเรปันมีราชสารถึงอิเหนาและระตูหมันหยา

                                            เมื่อนั้น                                      องค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่

                           ครั้นดะหมังเสนาทูลลาไป                          พระตรึกไตรในคดีด้วยปรีชา

                           แล้วตรัสแก่กะหรัดตะปาตี                          อันสงครามครั้งนี้เห็นหนักหนา

                           จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจอนุชา                          ไม่มีที่จะปรึกษาหารือใคร

                           เจ้าจงยกพลขันธ์ไปบรรจบ                           สบทบทัพอิเหนาให้จงได้

                          ชวนกันยกรีบเร็วไป                                       อย่าทันให้ปัจจามิตรติดพารา

                                                                         ฯลฯ

                                                                

คำศัพท์


กระยาหงัน

วิมาน  สวรรค์ชั้นฟ้า

กะระตะ

เร่งม้า

กั้นหยั่น

อาวุธสำหรับเหน็บติดตัว

กิดาหยัน

ผู้มีหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์

กิริณี

ช้าง

แก้วพุกาม

แก้วอันมีค่าจากเมืองพุกามในพม่า

เขนง

เขาสัตว์สำหรับใส่ดินปืน

คับแคบ

ชื่อนกชนิดหนึ่งเป็นนกเป็ดน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุด

เค้าโมง

ชื่อนกมีหลายชนิดหากินเวลากลางคืน เค้า หรือ ฮูก ก็เรียก

แค

ชื่อต้นไม้ดอกมีสีขาวและแดง ยอดอ่อนและฝักกินได้

งาแซง

ไม่เสี้ยมปลายแหลม วางเอนเรียงเป็นลำดับสำหรับป้องกัน

จากพราก

ชื่อนกในวงศ์นกเป็ดน้ำ ในวรรณคดีนิยมว่าคู่ของนกชนิดนี้ว่าต้องพรากและครวญถึงกันในเวลากลางคืน

เจียระบาด

ผ้าคาดเอวชนิดหนึ่ง มีชายห้อยที่หน้าขา

ชนัก

เครื่องผูกคอช้าง ทำด้วยเชือกมีปมหรือห่วงห้อยพาดลงมาเพื่อให้คนที่ขี่ใช้หัวแม่เท้าคีบกันตก

ชมพูนุช



ชักปีกกา

รูปกองทัพที่ตั้ง มีกองขวา กองซ้ายคล้ายปีก

ชาลี

ตาข่าย

ชังคลอง

แย่งทางที่ตนจะได้เปรียบ

เช็ดหน้า

ผ้าเช็ดหน้า

ดะหมัง

เสนาผู้ใหญ่

ตระเวนไพร

ชื่อของนกชนิดหนึ่ง ชอบหากินเป็นฝูง

ตรัสเตร็จ

สว่างแจ้ง สวยงาม

ตาด

ผ้าทอด้วยไหมควบเส้นเงินหรือเส้นทอง

ตำมะหงง

เสนาผู้ใหญ่

ตุนาหงัน

หมั้น

เต่าร้าง

ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นคล้ายต้นหมาก ผลทะลายเป็นพวง

ไถ้

ถุงสำหรับคาดเอวนำติดตัวไปที่ต่างๆ

ธงฉาน

ธงนำกระบวนการ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม

ธงชาย

ธงมีชายเป็นรูปสามเหลี่ยม

นามครุฑา

ชื่อการตั้งค่ายกองทัพตามตำราพิชัยสงคราม

แน่นนันต์

มากมาย

บุหรง

นกยูง

เบญจวรรณ

นกแก้ว ขนาดใหญ่มีหลายสี

ประเสบัน

ที่พักเจ้านาย

ปาเตะ

ชื่อตำแหน่งขุนนาง

ปืนตับ

ปืนหลายกระบอกเรียงกันเป็นตับ

พลขันธ์

กองกำลังทหาร

พันตู

ต่อสู้ติดพัน

โพยมบน

ท้องฟ้าเบื้องบน

ไพชยนต์

ชื่อรถหรือวิมานของพระอินทร์ ใช้เรียกที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน

เฟื่อง

เครื่องห้อยโยงตามช่องหน้าต่างเพื่อประดับให้งาม

ภัสม์ธุลี

ผง ฝุ่น ละออง

มณฑก

เรียกปืนเล็กยาวชนิดหนึ่งว่า ปืนมณฑก



บทวิเคราะห์

       บทละครเรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง สามารถนำมาวิเคราะห์และประเมินคุณค่าในด้านต่างๆได้ดังนี้

คุณค่าทางด้านเนื้อหา

๑)     โครงเรื่อง

       ๑.๑) แนวคิดของเรื่อง เรื่องอิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิงเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีให้ต่อลูก รักและตามใจลูกทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวตายก็ยอม

      ๑.๒) ฉาก เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของชวา แต่การบรรยายฉากในเรื่องเป็นฉากของไทย บ้านเมืองที่กล่าวพรรณนาไว้คือกรุงรัตนโกสินทร์ วัฒนธรรมประเพณีที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องของไทยที่สอดแทรกไว้อย่างมีศิลปะ อาทิ พระราชพิธีสมโภชลูกหลวง(เมื่ออิเหนาประสูติ) พระราชพิธีการพระเมรุที่เมืองหมันหยา พระราชพิธีรับแขกเมือง (เมื่อเมืองดาหารับทูตจรกา) พระราชพิธีโสกันต์ (สียะตรา) ซึ่งล้วนแต่เป็นพรราชพิธีของไทยแต่โบราณ

    ๑.๓) ปมขัดแย้ง ตอนศึกกะหมังกุหนิงมีหลายข้อขัดแย้ง แต่ละปมปัญหาเป็นเรื่องที่อาจเกิดได้ในชีวิตจริง ละสมเหตุสมผล เช่น

        ท้าวกุเรปันจะให้อิเหนาอภิเษกกับบุษบา แต่อิเหนาหลงรักจินตะหรา ไม่ยอมอภิเษกกับบุษบา

๒)   ตัวละคร ในเรื่องอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง มีตัวละครที่มีบทบาทสำคัญปรากฏอยู่มาก ตัวละครมีบุคลิกนิสัยที่โดดเด่นและแตกต่างกัน เช่น เช่น

           ๒.๑) ท้าวกุเรปัน เป็น กษัตริย์เทวาผู้ยิ่งใหญ่ มีอนุชา ๓ องค์ ครองเมืองดาหา กากลัง สิงหัดส่าหรี ลักษณะนิสัย เป็นคนถือยศศักดิ์ ไม่ไว้หน้าใคร เป็นคนรักเกียรติรักวงศ์ตระกูล

           ๒.๒) ท้าวดาหา เป็นอนุชาองค์รองของท้าวกุเรปัน มีลักษณะนิสัย เป็นผู้รักษาคำสัตย์ เป็นผู้ที่มีขัตติยะมานะ เป็นผู้มีความรอบคอบในการศึก

           ๒.๓) อิเหนา เป็นโฮรสท้าวกุเรปันกับประไหมสุหรี  อิเหนาเป็นหนุ่มรูปงาม เข้มแข็ง ใจเด็ด เอาแต่ใจตนเอง เจ้าชู้

           ๒.๔) จินตะหรา ราชธิดาของระตูหมันหยากับประไหมสุหรี มีลักษณะนิสัย เป็นคนแสงงอนใจน้อย เป็นคนมีเหตุมีผล ไม่ดื้อดึง เป็นคนที่มีความรู้สึกไว รับรู้ไว

           ๒.๕) ท้าวกะหมังกุหนิง เป็นกษัตริย์เมืองกะหมังกุหนิง มีลักษณะนิสัย ป็นคนรักลูกยิ่งชีวิต เป็นคนใจเด็ดขาด เป็นคนประมาท      

คุณค่าด้านกลวิธีการแต่ง

๑. จินตภาพ กวีใช้คำบรรยายได้ชัดเจน สามารถทำให้ผู้อ่านสามารถคิดภาพตามและได้รับอรรถรสในการอ่านมากขึ้น

๒.   ภาพพจน์ ภาพพจน์ที่กวีใช้มีหลายลักษณะ ดังนี้

                   ๒.๑) การเปรียบเทียบแบบอุปมา หรืออุปมาโวหาร เป็นการใช้โวหารเปรียบเทียบโดยใช้คำเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนสิ่งหนึ่ง ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

                   ๒.๒)การเปรียบเทียบการเกินจริงหรือการใช้โวหารอธิพจน์เป็นการใช้คำเปรียบเทียบที่เกินจริง เพื่อเน้นความรู้สึกให้ผู้อ่านเห็นภาพและเกิดความลึกซึ้งได้ง่าย

๓.    การเล่นคำ โดยการซ้ำคำ มีการใช้ภาษาสละสลวยงดงาม การเล่นคำพ้องเสียง เล่นสัมผัสพยัญชนะเพื่อให้เกิดความไพเราะ

คุณค่าด้านความรู้และความคิด

๑)แสดงให้เห็นความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมโบราณ

๒)   แสดงให้เห็นถึงสภาพการศึกสงครามเมื่อครั้งอดีต

ข้อคิดเตือนใจ ที่ว่าลูกของใครใครก็รัก แต่การที่รักและตามใจลูกจนเกินไปบางครั้งความรักของพ่อแม่ก็อาจจะฆ่าลูกและฆ่าตนเองด้วย

                  อิเหนา เป็นบทละครที่มีเนื้อหาเป็นที่นิยม เนื่องด้วยสำนวนกลอนมีความไพเราะและเหมาะที่จะนำไปเล่นละคร แม้จะมีเค้าเรื่องมาจากนิทานพื้นเมืองชวา แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับธรรมเนียมและรสนิยมของคนไทยได้โดยไม่ขัดกับเรื่องเดิม นอกจากนี้ผู้อ่านยังอาจแสวงหาความรู้เรื่องประเพณีไทยได้ ด้วยเหตุนี้บทละครเรื่องอิเหนาจึงเป็นวรรณคดีที่มีความโดเด่นและควรค่าแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่ง
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=gAGsz-Y6xIQ

บทที่3 เรื่อง นิทานเวตาล(เรื่องที่10)



หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
เรื่อง นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)

ความเป็นมา

             นิทานเวตาล ฉบับนิพนธ์ พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ มีที่มาจากวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดีย  โดยมีชื่อเดิมว่า เวตาลปัญจวิงศติ” ศิวทาสได้แต่งไว้ในสมัยโบราณ

                  ต่อมาได้มีผู้นำนิทานเวตาลทั้งฉบับภาษาสันสกฤตและภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยร้อยเอก เซอร์ ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน  ก็ได้นำมาแปลและเรียบเรียงแต่งแปลงเป็นสำนวนภาษาของตนเองให้คนอังกฤษอ่าน แต่ไม่ครบทั้ง 25 เรื่อง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ได้ทรงแปลนิทานเวตาลจากฉบับของเบอร์ตัน จำนวน 9 เรื่อง และจากฉบับแปลสำนวนของ ซี. เอช. ทอว์นีย์   อีก 1 เรื่อง รวมเป็นฉบับภาษาไทยของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ 10 เรื่อง เมื่อ พ.ศ. 2461

                   นิทานเวตาลเป็นนิทานที่มีลักษณะเป็นนิทานซับซ้อนนิทาน คือ มีนิทานเรื่องย่อยซ้อนอยู่ในนิทานเรื่องใหญ่



ประวัติผู้แต่ง

            พระราชวงศ์เธอ    กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงชำนาญด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ได้ทรงนิพนธ์หนังสือไว้มากมายโดยใช้นามแฝงว่า น.ม.ส. ซึ่งทรงเลือกจากตัวอักษรตัวหลังพยางค์ของพระนาม (พระองค์เจ้า)รัชนีแจ่มจรัส



ลักษณะคำประพันธ์

           นิทานเวตาล แต่งเป็นร้อยแก้ว    โดยนำทำนองเขียนร้อยแก้วของฝรั่งมาปรับเข้ากับสำนวนไทยได้อย่างกลมกลืน และไม่ทำให้เสียอรรถรส แต่กลับทำให้ภาษาไทยมีชีวิตชีวา จึงได้รับยกย่องเป็นสำนวนร้อยแก้วที่ใหม่ที่สุดในยุคนั้น เรียกว่า สำนวน น.ม.ส.


เรื่องย่อ

                    ในโบราณกาล มีเมืองที่ใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงพระนามว่า ท้าวมหาพล มีพระมเหสีที่ทรงสิริโฉมงดงามแม้มีพระราชธิดาที่ทรงเจริญวัยแล้ว ต่อมาได้เกิดศึกสงครามทหารของท้าวเอาใจออกห่าง ทำให้ทรงพ่ายแพ้ พระองค์จึงทรงพาพระมเหสีและพระราชธิดาหลบหนีออกจากเมืองเพื่อไปเมืองเดิมของพระมเหสี ในระหว่างทางท้าวมหาพลได้ถูกโจรรุมทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์และสิ่งของมีค่า จนพระองค์สิ้นพระชนม์ จนพระราชธิดาและพระมเหสีเสด็จหนีเข้าไปในป่าลึก

   ในเวลานั้นมีพระราชาทรงพระนามว่า ท้าวจันทรเสน กับพระราชบุตร ได้เสด็จมาประพาสป่าและพบรอยเท้าของสตรีซึ่งเมื่อพบสตรีทั้งสองจะให้รอยเท้าที่ใหญ่เป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และรอยเท้าที่เล็กเป็นพระชายาของพระราชบุตร แต่เมื่อพบนางทั้งก็ปรากฏว่า รอยเท้าที่ใหญ่คือพระราชธิดา และรอยเท้าที่เล็ก นั้นคือ พระราชมารดา ดังนั้นพระราชธิดาจึงเป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และพระมารดาได้เป็นพระชายาของพระราชบุตร



เนื้อเรื่อง

          เวตาลกล่าวว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าเขม่นตาซ้ายหัวใจเต้นแรง แลตาก็มืดมัวเหมือนลางไม่ดีเสียแล้ว  แต่ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องจริงถวาย แลเหตุที่ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องถูกแบกหามไปหามมา

           ในโบราณกาล มีเมืองที่ใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงพระนามว่า ท้าวมหาพล มีพระมเหสีที่ทรงสิริโฉมงดงามแม้มีพระราชธิดาที่ทรงเจริญวัยแล้ว ต่อมาได้เกิดศึกสงครามทหารของท้าวเอาใจออกห่าง ทำให้ทรงพ่ายแพ้ พระองค์จึงทรงพาพระมเหสีและพระราชธิดาหลบหนีออกจากเมืองเพื่อไปเมืองเดิมของพระมเหสี ในระหว่างทางท้าวมหาพลได้ถูกโจรรุมทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์และสิ่งของมีค่า จนพระองค์สิ้นพระชนม์ จนพระราชธิดาและพระมเหสีเสด็จหนีเข้าไปในป่าลึก

            ในเวลานั้นมีพระราชาทรงพระนามว่า ท้าวจันทรเสน กับพระราชบุตร ได้เสด็จมาประพาสป่าและพบรอยเท้าของสตรีซึ่งเมื่อพบสตรีทั้งสองจะให้รอยเท้าที่ใหญ่เป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และรอยเท้าที่เล็กเป็นพระชายาของพระราชบุตร แต่เมื่อพบนางทั้งก็ปรากฏว่า รอยเท้าที่ใหญ่คือพระราชธิดา และรอยเท้าที่เล็ก นั้นคือ พระราชมารดา ดังนั้นพระราชธิดาจึงเป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และพระมารดาได้เป็นพระชายาของพระราชบุตร

      ครั้นกษัตริย์ทั้งสององค์ทรงกระทำสัญญาแบ่งนางกันดังนี้แล้ว ก็ชักม้าตามรอยเท้านางเข้าไปในป่า

       พระราชากับพระราชบุตรก็เชิญนางทั้งสองขึ้นบนหลังม้าองค์ละองค์ นางพระบาทเขื่องคือพระราชธิดาขึ้นทรงม้ากับท้าวจันทรเสน นางพระบาทเล็กคือพระมเหสีขึ้นทรงช้างกับพระราชบุตร สี่องค์ก็เสด็จเข้ากรุง

          กล่าวสั้นๆ ท้าวจันทรเสน แลพระราชบุตรก็ทำวิวาหะทั้งสองพระองค์ แต่กลับคู่กันไป คือพระราชบิดาวิวาหะกับพระราชบุตรี  พระราชบุตรวิวาหะกับพระมเหสี แลเพราะเหตุที่คาดขนาดเท้าผิด ลูกกลับเป็นเมียพ่อ แม่กลับเป็นเมียลูก ลูกกลับเป็นแม่เลี้ยงของผัวตัวเอง แลแม่กลับเป็นลูกสะใภ้ของผัวแห่งลูกตน

         แลต่อมาบุตรแลธิดาก็เกิดจากนางทั้งสอง แลบุตรแลธิดาของนางทั้งสองก็มีบุตรแลธิดาต่อๆกันไป

         เวตาลเล่ามาเพียงครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า

      “บัดนี้ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาทูลถามพระองค์ว่า ลูกท้าวจันทรเสนที่เกิดจากธิดาท้าวมหาพลลูกพระมเหสีท้าวมหาพลที่เกิดกับพระราชบุตรท้าวจันทรเสนนั้น จะนับญาติกันอย่างไร

       พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟังปัญหาก็ทรงตรึกตรองเอาเรื่องของพ่อกับลูก  แม่กับลูก แลกับน้องมาปนกันยุ่ง แลมิหนำซ้ำมาเรื่องแม่เลี้ยงกับแม่ตัว  แลลูกสะใภ้กับลูกตัวอีกเล่า

           พระราชาทรงตีปัญหายังไม่ทันแตก พอนึกขึ้นได้ว่าการพาเวตาลไปส่งคืนโยคีนั้นจะสำเร็จก็ด้วยไม่ทรงตอบปัญหา จึงเป็นอันทรงนิ่งเพราะจำเป็นแลเพราะสะดวก  ก็รีบสาวก้าวดำเนินเร็วขึ้น

           ครั้นเวตาลทูลเย้าให้ตอบปัญหาด้วยวิธีกล่าวว่าโง่ จะรับสั่งอะไรไม่ได้ ก็ทรงกระแอม

           เวตาลทูลถามว่า

          รับสั่งตอบปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ

          พระราชาไม่ทรงตอบว่ากระไร เวตาลก็นิ่งครู่หนึ่งแล้วทูลถามว่า

           บางมีพระองค์จะโปรดฟังเรื่องสั้นๆ อีกสักเรื่องหนึ่งกระมัง

          ครั้งนี้แม้แต่กระแอม พระวิกรมาทิตย์ก็ไม่ทรงกระแอม เวตาลจึ่งกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า

         เมื่อพระองค์ทรงจนปัญญาถึงเพียงนี้ บางทีพระราชบุตรซึ่งทรงปัญญาเฉลียวฉลาดจะทรงแก้ปัญหาได้บ้างกระมัง

           แต่พระธรรมวัชพระราชบุตรนิ่งสนิททีเดียว



คำศัพท์        


กระเหม่น

เขม่น คือ อาการที่กล้ามเนื้อกระตุกเบาๆ ขึ้นเอง ตามลัทธิโบราณถือว่าเป็นนิมิตบอกเหตุร้ายหรือดี

โกรศ

มาตราวัดความยาว เท่ากับ 500 คันธนู

เขื่อง

ค่อนข้างใหญ่ ค่อนข้างโต

คุมกัน

รวมกลุ่มกัน

เครื่องประหลาด

สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจในความว่า “ความสาวของพระนางเป็นเครื่องประหลาดของคนทั้งหลาย

จำเพาะ

เพียง เฉพาะ

ซื้อน้ำใจ

ผูกใจ ในความว่า ใช้ทองคำซื้อน้ำใจนายทหารหมายถึง ติดสินบนด้วยทองคำเพื่อให้ทหารเข้ากับฝ่ายของตน

ดอกไม้ในสวน

เปรียบกับหญิงสาวที่อยู่ในรั้วในวัง

ดอกไม้ป่า

เปรียบกับหญิงสาวในชนบทหรือในหัวเมืองทั่วไป แต่มีความงามเป็นพิเศษ

ภิลล์

ชื่อชาวป่า อาศัยในแถบเขาวินธัยในอินเดีย

มูลเทวะบัณฑิต

เป็นชื่อตัวละครในนิทานสันสกฤต เล่าว่าเป็นผู้รู้ศิลปวิทยาและมักกล่าวถ้อยคำเป็นคติสอนใจ

แม่เรือน

ในที่นี้หมายถึงภริยาที่ดีมีหน้าที่ดูแลสามีและความเรียบร้อยภายในบ้าน เรียกว่า แม่ศรีเรือน

รี้พล

ทหาร

สัญญา

สัญญาณ ในข้อความที่ว่า ก็ทำสัญญาเรียกพลโจรออกมาทั้งหมด

สิ้นบุญ

ตาย

สู่

แบ่งให้ ในข้อความ เพื่อจะหาอาหารเสวยและสู่พระนางทั้งสองพระองค์

หนังสือ

วรรณคดี ในความที่ว่า ถ้าจะพูดตามเรื่องหนังสือ

หรอร่อย

คือ ร่อยหรอ หมายความว่า ค่อยๆ หมดไปทีละน้อย

เหล็ก

อาวุธที่ทำด้วยเหล็ก ในข้อความที่ว่า ใช้เหล็กเป็นอาวุธที่ซื้อน้ำใจไม่ได้



บทวิเคราะห์

ความดีเด่นด้านกลวิธีการแต่ง

1 การใช้สำนวนโวหาร

     นิทานเวตาล ฉบับพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์  มีการใช้สำนวนโวหารเปรียบเทียบที่ไพเราะและทำให้เห็นภาพแจ่มชัดขึ้น

2 การใช้กวีโวหาร

      พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงแปลนิทานเวตาลด้วยภาษาที่กระชับ อ่านง่าย มีบางตอนที่ทรงใช้สำนวนภาษาบาลี ซึ่งไม่คุ้นหูผู้อ่านในยุคนี้ เพราะไม่นิยมใช้แล้วในปัจจุบัน



คุณค่าด้านปัญญาและความคิด

1 ความอดทนอดกลั้น

           ความอดทนเป็นคำสอนในทุกศาสนา ดังนั้นเมื่อไม่ตอบปัญหาในเรื่องที่ 10 เวตาลจึงกล่าวชมว่า ทรงตั้งพระราชหฤทัยดีนัก พระปัญญาราวกับเทวดาและมนุษย์อื่นที่มีปัญญา จะหามนุษย์เสมอมิได้

2 ความเพียรพยายาม

            เวตาลมักยั่วยุให้พระวิกรมาทิตย์แสดงความคิดเห็นออกมา ทำให้พระองค์ต้องกลับไปปีนต้นอโศกเพื่อจับเวตาลใส่ย่ามกลายครั้ง

3 การใช้สติปัญญา

            การแก้ปัญหาต่างๆ จำเป็นต้องใช้สติและปัญญาควบคู่กันไป จากนิทานเวตาลเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้ปัญญาของพระวิกรมาทิตย์อย่างเดียวนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาและเอาชนะเวตาลได้ แต่พระองค์ต้องใช้สติประกอบกับปัญญาควบคู่กันไปจึงเอาชนะเวตาลได้

4 ความมีสติ

           ความเป็นผู้มีทิฐิมานะ ไม่ยอมในสิ่งที่ไม่พอใจ บางครั้งอาจส่งผลเสียต่อผู้นั้นเอง ดังนั้น การพยายามยับยั้งชั่งใจ  ไม่พูดมากปากไวจนเกินไป จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะเมื่อใด เราคิดก่อนพูด ไม่ใช่พูดแล้วคิด เมื่อนั้นเราก็มีสติ สติเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของสมาธิและปัญญา ถ้าไม่มีสติ สิ่งต่างๆที่เราทำไปหรือตัดสินใจไปโดยไร้สติอาจส่งผลร้ายเกินกว่าจะประเมินได้

5 การเอาชนะข้าศึกศัตรู

            ในการทำสงครามนั้นผู้ที่มีความชำนาญ มีเล่ห์เหลี่ยมในกลศึกมากกว่าย่อมได้ชัยชนะ

6 ข้อคิดเตือนใจ

              เครื่องประดับเป็นสิ่งที่ทำให้ได้รับอันตรายจากโจรผู้ร้าย แม้จะเป็นชายที่มีฝีมือเช่นท้าวมหาพลก็ตาม เมื่อตกอยู่ในหมู่โจรเพียงคนเดียว ย่อมเสียทีได้



คุณค่าด้านความรู้

          การอ่านนิทานเวตาลทำให้ได้รู้ถึงวัฒธรรมและค่านิยมของชาวอินเดียในยุคโบราณ เช่น ค่านิยมที่ชายจะมีภรรยาได้หลายคนโดยเฉพาะชายสูงศักดิ์ เพราะถือส่าเรือนที่อบอุ่นจะต้องมีแม่เรือน
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=89nwOAuWXZ8

บทที่4 เรื่อง นิราศนริทร์คำโคลง


นิราศนรินทร์คำโคลง

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔

ความเป็นมา

      นิราศ เป็นงานประพันธ์ประเภทหนึ่งของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เท่าที่ปรากฏหลักฐานในปัจจุบัน นิราศเรื่องแรกของไทยนั้นคือ โคลงนิราศหริภุญชัย ซึ่งแต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา

๑.๑ ลักษณะของนิราศ

      พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ อธิบายว่า “นิราศ” หมายถึง .เรื่องราวที่พรรณนาถึงการจากกันหรือจากที่อยู่ไปในที่ต่างๆ

 ๑.๒ เนื้อหาของนิราศ

      เนื้อหานิราศส่วนใหญ่มักเป็นการคร่ำครวญของกวี (ชาย) ต่อสตรีอันเป็นที่รักเนื่องจากต้องพลัดพรากจากนางมาไกลไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม

      อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าวรรคดีนิราศมักมีความเศร้าเพราะร้างรักเป็นแก่นเรื่องของรายละเอียดอื่นๆ ที่ปรากฏในเนื้อเรื่องเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น

 ๑.๓ นางในนิราศ

      สำหรับนางในนิราศที่กวีพรรณนานั้น อาจมีตัวตนจริงหรือไม่ก็ได้แต่กวีถือว่า นางอันเป็นที่รักเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะเอื้อให้กวีแต่งนิราศได้ไพเราะในบางกรณกวีเมื่อเดินทางไกลและแม้ว่าจะไม่ได้จากนางอันเป็นที่รักจริง เพราะมีนางนั้นติดตามาด้วย แต่กวีก็ยังต้องครวญถึงนางตามแบบแผนของนิราศ

 ๑.๔ คำประพันธ์ในนิราศ

         วรรณคดีประเภทนิราศอาจแต่งด้วยคำประพันธ์หลายๆประเภท เช่น โคลง กาพย์ กลอน กาพย์ห่อโคลง แต่ที่นิยมมากสุดในสมัยโบราณได้แก่ โคลง ส่วนมากมักขึ้นต้นด้วยร่ายหนึ่งบทและร่ายหนึ่งบทนี้จะมีใจความสดุดีบ้านเมืองและยอพระเกียรติพระมาหากษัตริย์



นิราศนรินทน์คำโคลง

     นิราศนรินทน์คำโคลงมีลักษณะเป็นนิราศแท้ คือมีเนื้อหาสำคัญอยู่ที่การคร่ำครวญถึงนางอันเป็นที่รักที่กวีจากมา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่านิราศนรินทน์คำโคลงเป็นนิราศที่มีความไพเราะที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย

                                                                         อยุธยายศล่มแล้ว               ลอยสวรรค์ ลงฤา
                                                         
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร-         เจิดหล้า
                                                         
บุญเพรงพระหากสรรค์             ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
                                                         
บุญเพรงพระหากสรรค์             ฝึกฟื้นใจเมือง
                                                         
เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น               พันแสง
                                                         
รินรสพระธรรมแสดง                ค่ำเช้า
                                                         
เจดีย์ระดะแซง                       เสียดยอด
                                                         
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า                  แก่นหล้าหลากสวรรค์
                                                         
เอียงอกเทออกอ้าง                อวดองค์ อรเอย
                                                         
เมรุชุบสมุทรดินลง                 เลยแต้ม
                                                         
อากาศจักจารผจง                  จารึก พอฤา
                                                         
โฉมแม่หยาดฟ้าแย้ม              อยู่ร้อนฤาเห็น

๒.ประวัติผู้แต่ง

             นิราศนรินทน์คำโคลง เป็นนิราศที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์ ด้ยมีความไพเราะเป็นเยี่ยม แต่เป็นที่หน้าเสียดายว่าความรู้เกี่ยวกับประวัติผู้แต่งนั้นไม่สู้ชัดเจนนักนอกจากปรากฏอยู่ในโคลงท้ายเรื่องว่า

“โคลงนิราศเรื่องนี้                  นรินทร์อิน

รองบาทบวรวังถวิน                     ว่าไว้”

    ๓.ลักษณะคำประพันธ์

            นิราศนรินทน์คำโคลง แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ จำนวน ๑ บท และโคลงสี่สุภาพจำนวน ๑๔๓ บท

           ๓.๑ ร่ายสุภาพ

                   ร่ายสุภาพแต่งเป็นวรรค วรรคละประมาณ ๕ คำ หรือมากกว่านั้น และจะแต่งให้ยาวกี่วรรคก็ได้ แต่สามวรรคสุดท้ายก่อนที่จะจบบทจะต้องมีฉันทลักษณ์เป็นโคลงสองสุภาพเสมอ

                   ส่วนการสัมผัสนั้นคำสุดท้ายของวรรคหน้าจะสัมผัสกับคำที่ ๑,๒ หรือ ๓ ของวรรคต่อไปแต่ถ้าคำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสเป็นคำเอกหรือคำโท คำที่รับสัมผัสในวรรคต่อไปจะต้องเป็นคำเอกหรือคำโทเช่นเดียวกัน ดังแผนภาพต่อไปนี้


๔.เรื่องย่อ

    นิราศนรินทร์คำโคลงเริ่มเรื่องด้วยร่ายสุภาพยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แล้วกล่าวถึงความเจริญของบ้านเมือง จากนั้นจึงรำพันถึงการจากนางอันเป็นที่รักและพรรณนาสถานที่ที่ผ่านไป โดยนายนรินทรธิเบศร์ (อิน)  ได้ออกเดินทางเริ่มต้นจากคลองขุดผ่านวัดแจ้ง  คลองบางกอก (ใหญ่)  วัดหงส์  วัดสังข์กระจาย  บางยี่เรือ (คลอง) ด่านนางนอง บางขุนเทียน บางบอน บางหัวกระบือ โคกขาม คลองโคกเต่า มหาชัย ท่าจีน บ้านบ่อ นาขวาง คลองสามสิบสองคด คลองย่านซื่อ แม่กลองปากน้ำ (ออกทะเล) บ้านแหลม คุ้งคดอ้อย เพชรบุรี ชะอำ ห้วยขมิ้น ท่าข้าม เมืองปราณ (บุรี) สามร้อยยอด ทุ่งโคแดง (ทุ่งวัดแดง) อ่าวนางรม (อ่าวประจวบ) บางสะพาน ขามสาวบ่าว อู่แห้ง เขาหมอนเจ้า โพสลับ ลับยักษ์ เมืองแม่น้ำ อู่สะเภา หนองบัว แก่งตุ่ม แก่งคุลาตีอก แก่งแก้ว (แก่งแก้วสงสาร) แก่งนางครวญ ปากน้ำ (ร่วม) เขาเพชร จนถึงตระนาว (ตะนาวศรี) เป็นที่หมายปลายทาง

๕.เนื้อเรื่อง

นิราศนรินทน์

                       ศรีสิทธิ์พิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์  จรรโลงโลกกว่ากว้าง  แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ  ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า  แจกแสงจ้าเจิดจันทร์  เพียงรพิพรรณผ่องด้าว  ขุนหาญท้าวแหนบาท  สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน  ส่วนเศิกเหลี้ยนล่งหล้า  ราญราบหน้าเกริน  เข็ญข่าวยินยอบตัว  ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว  ทุกไทน้าวมาลย์น้อม  ขอออกอ้อมมาอ่อน  ผ่อนแผ่นดินให้ผาย  ขยายแผ่นฟ้าให้แผ้ว  เลี้ยงทแกล้วให้กล้า  พระยศไท้เทิดฟ้า  เฟื่องฟุ้งทศธรรม  ท่านแฮ

                              อยุธยายศล่มแล้ว                          ลอยสวรรค์ ลงฤา
                    สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร-                      เจิดหล้า
                    บุญเพรงพระหากสรรค์                          ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
                    บุญเพรงพระหากสรรค์                          ฝึกฟื้นใจเมือง

                                                                   ฯลฯ



                                เอียงอกเทออกอ้าง                      อวดองค์ อรเอย
                    เมรุชุบสมุทรดินลง                                 เลขแต้ม
                    อากาศจักจารผจง                                    จารึก พอฤา
                    โฉมแม่หยาดฟ้าแย้ม                               อยู่ร้อนฤาเห็น

                                                                   ฯลฯ

                                 ร่ำรักร่ำเรื่องร้าง                         แรมนวล  นาฏฤา
                    เสนาะสนั่นดินครวญ                             ครุ่นฟ้า
                    สารสั่งพี่กำสรวล                                   แสนเสน่ห์  นุชเอย
                    ควรแม่ไว้ต่างหน้า                                  พี่พู้นภายหลัง

                                                                    ฯลฯ

๑.      คำศัพท์และคำอธิบาย


พิศาลภพ

โลกอันกว้างขวาง

เลอหล้า

เหนือโลก บนโลก สูงเด่นในโลก

แผ่นผ้าง

แผ่นพื้น

รพิพรรณ

แสงอาทิตย์

ขุญหาญ

ขุนพล แม่ทัพ

ห้าว

กล้า

ไตรรัตน์

แก้วสามดวง

แก่นหล้า

เป็นแก่นโลก หลักโลก

เยียวว่า

ถ้าว่า แม้ว่า

เลื่อน

พาไป

ชาย

พัด

จักรี

ผู้มีจักร

เกลือก

หาก บางที

คล้อง

รับ

โท

สอง

ขำ

งาม

ท่ง

ทุ่ง

หิวมเวศ

หิมพานต์

รุม

ร้อน

เลข

เขียนหนังสือ

กำสรวล

โศกเศร้า



บทวิเคราะห์

๗.๑ ด้านกลวิธี การแต่ง

 ๑) การใช้คำ กวีใช้คพที่งดงามทั้งรูป ความหมายและเสียงที่ไพเราะ โดยเฉพาะร่ายสดุดีที่มีลักษณะเด่นสะดุดความสนใจ

๑.๑) เลือกสรรคำที่เหมาะกับเนื้อเรื่อง

๑.๒) การเลือกสรรคำที่มีเสียงเสนาะ

- สัมผัส

- การเล่มคำ

๒) ภาพพจน์

   ๒.๑) การเปรียบเทียบเกินจริง คือการกล่าวเกินจริง เพื่อให้ได้คุณค่าทางด้านอารมณ์เป็นสำคัญ

  ๒.๒) การใช้บุคคลวัต กวีใช้คำสมมุติต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ให้มีกิริยาอาการความรู้สึกเหมือนมนุษย์



๗.๒ ด้านสังคม

๑.     นิราศนรินทร์คำโคลงมีเนื้อหาสาระที่จรรโลงวัฒนธรรม

๒.   นิราศนรินทร์คำโคลงมีคุณค่าที่สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยรัชการที่ ๒

        นิราศนรินทร์คำโคลง เป็นตัวอย่างของโคลงนิราศชั้นเยี่ยมที่เปี่ยมด้วยความไพเราะและมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ เหมาะสำหรับเยาวชนจะนำไปเป็นแบบอย่างในการประพันธุ์โคลงที่มีเนื้อหาพรรณอารมณ์ ความรัก และธรรมชาติ รวมทั้งรูปแบบทางฉันทลักษณ์ของร้อยกรองไทยได้เป็นอย่างดี
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=ihpt4Ywboxk

บทที่5 เรื่อง หัวใจชายหนุ่ม



บทที่๕

เรื่องหัวใจชายหนุ่ม

.ความเป็นมา

        หัวใจชายหนุ่ม เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า รามจิตติ เพื่อพระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์  ดุสิตสมิตเมื่อ พ..๒๔๖๔ ลักษณะการพระราชนิพนธ์เป็นรูปแบบของจดหมาย มีจำนวน ๑๘ ฉบับ รวมระยะเวลาที่ปรากฏตามจดหมายทั้งหมด ๑ ปี ๗ เดือน

.ประวัติผู้แต่ง

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖

แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีที่ทรงครองราชย์ (พ.๒๔๕๓-๒๔๖๘) ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ ทรงพระปรีชาสามารถทั้งด้านการทหาร การปกครองการต่างประเทศ และโดยเฉาะด้านอักษรศาสตร์ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์งานประพันธ์หลายประเภททรงใช้พระราชนิพนธ์เป็นสื่อแสดงแนวพระราชดำริในเรื่องต่างๆ

.ลักษณะคำประพันธ์

          หัวใจชายหนุ่ม เป็นนวนิยายร้อยแก้วในรูปแบบของจดหมาย โดยมีข้อควรสังเกตสำหรับรูปแบบจดหมาย ทั้ง ๑๘ ฉบับในเรื่องดังนี้

 .หัวจดหมาย ตั้งแต่ฉบับที่ ๑ วันที่ ๒๓ กันยายน พ.. ๒๔๖- จนถึงฉบับสุดท้าย วันที่ ๓0มีนาคม พ.. ๒๔๖- จะเห็นว่ามีการเว้นท้ายปี พ..ไว้                                    
 ๒.คำขึ้นต้นจดหมาย ทั้ง ๑๘ ฉบับ ใช้คำขึ้นต้นเหมือนกันหมด คือ พ่อประเสริฐเพื่อนรัก

๔.เนื้อเรื่่อง

                                       ตัวอย่าง   ฉบับที่ (๑๘)

                                                                                  บ้านเลขที่ 00 ถนนสี่พระยา

                                                                          วันที่ ๑๓ เมษายน,..๒๔๖-

ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก.

          ฉันต้องรีบบอกข่าวดีมาให้ทราบ. แม่ไรได้ตกลงแต่งงานแล้วกับหลวงพิเศษผลพานิช,พ่อคามั่งมี, ซึ่งนำบทว่าเป็นโขคดีสำหรับหล่อน. เพราะอาจจะหวังได้ว่าจะได้มีความสุขต่อไปในชีวิต.จริงอยู่หลวงพิเศษนั้นรูปร่างไม่ใช่เทวดาถอดรูป,แต่จะหวังไว้ว่าคงจะเข้าลักษณะขุนช้าง,คือ”ถึงรูปชั่วใจช่วงเหมือนดวงเดือน.”แต่ถึงจะใจไม่ช่วงเขาก็พอมีเงินพอที่จะซื้อความสุขให้แม่อุไรได้.

           การที่แม่อุไรได้ผัวใหม่เป็นตัวเป็นตนเสียแล้วเช่นนี้ ทำให้ฉันเองรู้สึกความตะขิดตะขวางห่วงใย.และรู้สึกว่าอาจจะคิดหาคู่ใหม่ได้โดยไม่ต้องมีข้อควรรังเกียจรังงอนเลย.พ่อประเสริฐเป็นเพื่อนรักกันที่สนิทสนมที่สุด,เพราะฉะนั้นฉันขอบอกตรงๆ ว่า ฉันได้รักผู้หญิงอยู่รายหนึ่งแล้ว,ซึ่งฉันหวังใจว่าจะได้เป็นคู่ชีวิตต่อไปโดยยั่งยืนจริงจัง.หล่อนชื่อนางสาวศรีสมาน,แล้วเจ้าคุณพิสิฐกับพ่อของฉันก็ชอบกันมาก.ฉะนั้นพอพ่อประเสริฐกลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯก็เตรียมตัวไว้เป็นเพื่อนบ่าวที่เดียวเถิด!

จากเพื่อนผู้กำลังปลื้มใจ.

หลวงบริบาลบรมศักดิ์

คำศัพท์


ครึ

เก่า ล้าสมัย

โช

Show อวดให้ดู

เทวดาถอดรุป

มีรูปร่างหน้าตาดีราวกับเทวดา

แบขะเล่อร์

Bachelor ชายโสด

ปอปูลาร์

Popular ได้รับความนิยม

พิสดาร

ละเอียดลออ กว้างขวาง

พื้นเสีย

อารมณ์เสีย หมายถึง โกรธ

ไพร่ๆ

คนสามัญ ชาวบ้าน

เรี่ยม

สะอาดหมดจด เอี่ยมอ่อง วิเศษ ดีเยี่ยม

ลอยนวล

ตามสบายไม่มีผู้ใด ขัดขวางจับกุม

สิ้นพูด

หมดคำพูดที่จะกล่าว

หมอบราบ

ยอมตามโดยไม่ขัดขืน

หมายว่า

คาดว่า

หลวง

บรรดาศักดิ์ข้าราชการที่สูงกว่าขุนนางและต่ำกว่าพระ

หัวนอก

คนที่นิยมแบบฝรั่ง

หัวเมือง

ต่างจังหวัด

อยู่ข้าง

ค่อนข้าง

อินเตอเรสต์

Interest ความสนใจ

เอดูเคชั่น

Education การศึกษา

ฮันนี่มูน

Honrymoon การไปเที่ยวด้วยกันของคู่แต่งงานใหม่



บทวิเคราะห์

1.ตัวละคร

ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเสนอแนวคิดและสารต่างๆ โดยเสนอผ่านมุมมองของประพันธ์ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องและตัวละครเหล่านี้  ทำให้เรารู้จักตัวละครอย่างลึกซึ้ง



 2. ฉาก

    ในเรื่องนี้เป็นสมัยที่คนไทยโดยเฉพาะคนชั้นสูงเพิ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกใหม่ สภาพบ้านเมืองมีความเจริญแบบชาวตะวันตก

3.กลวิธีการแต่ง

 หัวใจของชายหนุ่ม เป็นนวนิยายขนาดสั้น นำเสนอในรูปแบบของจดหมาย

4. คุณค่าด้านปัญญาและความคิด

4.1 เป็นรอยต่อวัฒนธรรม

4.2 ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน

4.3 อย่าลืมตัว

4.4 การศึกษาดีช่วยให้ความคิดดี

4.5 การมีภรรยาคนเดียว

5 คุณค่าด้านความรู้

  นวนิยายเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมในเรื่องการแต่งการ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้หญิง เริ่มไว้ผมยาว ค่อยๆเลิกนุ่งโจงกระเบน และเราจากสังคมชั้นสูง

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=RYKCH-X7ZnI

บทที่6 เรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี



        หน่วยการเรียนรู้ที่ 6

เรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

ความเป็นมา

             บทความเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี มีที่มาจากหนังสือรวบรวมบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง มณีพลอยร้อยแสง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดฯให้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533 ในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ โดย นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประวัติผู้แต่ง

             สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามราชกุมารี ทรงประกอบพระราชกรณียกิจหลายประการ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และงานแปล ในงานพระราชนิพนธ์แต่ละเรื่อง พระองค์จะใช้นามแฝงที่แตกต่างกันไป เช่น ก้อนหิน แว่นแก้ว หนูน้อย เป็นต้น

             นอกจากนี้ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านการศึกษา  การพัฒนาสังคม โดยมีโครงการในพระราชดำริส่วนพระองค์หลายโครงการ

ลักษณะคำประพันธ์

             ทุกข์ของชาวนาในบทกวี เป็นบทความแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นบทความที่มีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง  ความคิดเห็นที่มานำเสนอได้มาจากการวิเคราะห์ การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองของผู้เขียน โดยผ่านการ สำรวจปัญหา ที่มาของเรื่อง และข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดความคิดเห็นที่นำเสนออาจจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาตามทัศนะของผู้เขียนหรือการโต้แย้งความคิดเห็นของผู้อื่นมาก่อน

เรื่องย่อ

เนื้อความในตอนแรกของบทความเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงยกบทกวีของ จิตร ภูมิศักดิ์ซึ่งกล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ยากของชาวนา





เนื้อเรื่อง

ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

เปิบข้าวทุกคราวคำ              จงสูจำเป็นอาจิณ

เหงื่อกูที่สูกิน                                 จึงก่อเกิดมาเป็นคน

ข้าวนี้น่ะมีรส                        ให้ชนชิมทุกชั้นชน

เบื้องหลังสิทุกข์ทน                        และขมขื่นจนเขียวคาว

จากแรงมาเป็นรวง              ระยะทางนั้นเหยียดยาว

จากรวงเป็นเม็ดพราว                      ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ

เหงื่อหยดสักกี่หยาด            ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น

ปูดปูนกี่เส้นเอ็น                              จึงแปรรวงมาเปิบกิน

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง                 และน้ำแรงอันหลั่งริน

สายเลือดกูทั้งสิ้น                             ที่สูซดกำซาบฟัน

(จิตร ภูมิศักดิ์)





ต่อมาพระองค์ได้ทรงอ่านบทกวีของชาวจีบบทหนึ่ง มีใจความว่า



หว่านข้าวในฤดูใบไม่ผลิ  ข้าวเมล็ดหนึ่ง

จะกลายเป็นหมื่นเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วง

รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง

แต่ชาวนาก็ยังอดตาย

ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน  ชาวนายังพรวนดิน

เหงื่อหยดบนดินภายใต้จ้นข้าว

ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น

ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส

                                                      (หลี่เชิน)





คำศัพท์


กำซาบ

ซึมเข้าไป

เขียวคาว

สีเขียวของข้าว

ธัญพืช

ธัญพืชที่ให้เมล็ดเป็นหลัก เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด เป็นต้น

ประกันราคา

รับประกันที่จะรับซื้อผลผลิตตามราคาที่ได้กำหนดไว้ในอนาคต

เปิบ

วิธีการใช้นิ้วทั้งห้าหยิบข้าวใส่ปาก

ภาคบริการ

อาชีพที่ให้บริการผู้อื่น

ลำเลิก

กล่าวทวงบุญคุณ

สวัสดิการ

การให้สิ่งเอื้ออำนวย

สู

สรรพนามบุรุษที่2 เป็นคำโบราณ

อาจิณ

ประจำ





บทวิเคราะห์

คุณค่าด้านภาษา

กลวิธีการแต่ง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี นับเป็นตัวอย่างอันดีของบทความที่สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้ ด้วยแสดงให้เห็นแนวความคิดที่ชัดเจน    ลำดับเรื่องราวเข้าใจง่าย  และมีส่วนประกอบของการเขียนบทความอย่างครบถ้วน คือ ส่วนนำ   เนื้อเรื่อง ส่วนสรุป

คุณค่าด้านสังคม

สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ได้ทรงยกบทกวีของ จิตร ภูมิศักดิ์ซึ่งแต่งด้วยกาพย์ยานี 11 จำนวน 5บท มีเนื้อหาเกี่ยวกับความยากลำบากของชาวนาที่ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนทุกชนชั้น
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=-qCknnMK86k

ทที่7 เรื่อง มงคลสูตรคำฉันท์



หน่วยการเรียนรู้ที่7

เรื่อง มงคลสูตรคำฉันท์

ความเป็นมา

    เมื่อ พ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่6 ทรงนำมงคลสูตรมาทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทร้อยกรองประเกทคำฉันท์ โดยใช้คำประพันธ์ 2 ชนิด คือกาพย์ฉบัง 16 และอินทรวิเชียรฉันท์ 11 ทรงนำคาถาภาษาบาลีจากพระไตรปิฏกตั้ง

   แล้วแปลถอดความเป็นร้อยกรองภาษาไทย  ได้ถูกต้องตรงตามบังคับในฉันทลักษณ์

โดยไม่เสียเนื้อความจากพระคาถาบาลี การจัดวางลำดับของมมงคลแต่ละข้อก็เป็นไปตามที่ปรากฏอยู่ในพระคาถาเดิม  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจริยภาพทางด้านภาษาได้อย่างดียิ่ง

ผู้แต่ง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลักษณะคำประพันธ์

กาพย์ฉบัง 16 และอินทรวิเชียรฉันท์11

เรื่องย่อ

   สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงมงคลสูงสุด 38 ประการ ไว้ในมงคลสูตรซึ่งสำคัญบทหนึ่งในพระพุทธศาสนา มงคลสูตรปรากฏในพระไตรปิฏก ขุททกนิกาย หมวดทขุททกปาฐะ

เนื้อเรื่อง

๑ สิบสองฉนำเหล่า        นรอีกสุเทวา

   รวมกันและตริหา        สิริมังคลา

๒  เทวามนุษย์ทั่ว           พหุภพประเทศใน

     หมื่นจักรวาล              ดำริสิ้นจิรังกาล

     แล้วยังบ่รู้มง-             คละสมมโนมาลย์

    ด้วยกาละล่วงนาน       บ่มิได้ประสงค์สม

     ได้เกิดซึ่งโลกา-           หละยิ่งมโหดม

     ก้องถึงณชั้นพรหม      ธสถิตสะทือนไป

ฯลฯ

คำศัพท์


โกศล

ฉลาด

ขุททกนิกาย

พระสูตรเล็กน้อยหรือย่อยๆ

ขุททกปาฐะ

บทสวดหรือบทสวดสั้นๆ

คติ

วิธี แนวทาง

คาถา

คำประพันธ์ในภาษาบาลี

จิรังกาล

เวลาช้านาน

จำนง

ประสงค์ มุ่งมั่น ตั้งใจ

ชินสีห์

พระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า  แปลว่า ผู้ชนะ

ฉนำ

ปี

เฉิดเฉลา

งามเด่น

ดำกล

ตั้งไว้ ยืนยอยู่

ติระ

ฝั่ง

ทะเลวน

เวียนว่ายตายเกิด

ทศพล

ผู้มีกำลัง 10 ประการ

ทุษะ

คือ โทษ

นร

คน

บรรสาน

คือ ประสาน เชื่อม ผูกไว้

ยำเรอ

รับใช้

ประคอง

พยุงให้ทรงตัวยุ

ปรีย์

มี่รัก



   วิเคราะห์

คุณค่าด้านเนื้อหา

มงคลสูตรคำฉันท์นอกจากจะมีการแปลถอดความมาจากพระคาถาแล้ว ยังมีการอธิบายขยายมงคลเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

การสรรคำ   การเลือกสรรคำเป็นอย่างดี

การเลือกใช้คำประพันธ์  การเลือกใช้กาพย์ฉบัง16 และ อินทรวิเชียรฉันท์ 11 สามารถประพันธุ์ได้ตรงตามบังคับในฉันทลักษณ์โดยไม่เสียเนื้อความจากพระคาถาบาลี

การแปลถอดความ  การภาษาบาลีเป็นบทร้อยกรอง  ประเภทคำฉันท์ ทรงแปลถอดความได้อย่างสละสลวย

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=U2owjzQWTcs&t=15s

บทที่8 เรื่องมหาชติหรือมหาเวสสันดร



หน่วยการเรียนรู้ที่ ๘

มหาชาติหรือมหาเวศสันดรชาดก

ความเป็นมา

  พุทธศาสนิกชนชาวไทยนับถือกันมาแต่ครั้งโบราณว่า มหาเวศสันดรเป็นชาดกที่สำคัญกว่าชาดกเรื่องอื่น เพราะว่าด้วยเรื่องราวที่ปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์อยู่โดยบนิบูรณ์ทั้ง ๑๐ บารมี

นอกจากนี้ยังมีผู้นำมหาเวสสันดรชาดกไปแต่งเป็นภาษาไทยอีกหลายสำนวน และใช้คำประพันธ์หลายชนิด เช่น กลอน ฉันท์ กาพย์ ลิลิต และร้อยแก้ว รวมทั้งยังมีมหาเวสสันดรชาดกที่เป็นภาษาถิ่นอีกหลายฉบับ

ประวัติผู้แต่ง

-                    สำนักวัดถนน – กัณฑ์ทานกัณฑ์

-                   สำนักวัดสังข์กระจาย – กัณฑ์ชูชก

-                   พระเทพโมลี (กิ่น) – กัณฑ์มหาพน

-                   เจ้าพระยาพระคลัง (หน) –กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี

หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหารย์  ทำให้พระประยูรญาติละทิฐิยอมถวายบังคม  ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษ  พระภิกษุทั้งหลายจึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า  ฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต  พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเรื่องมหาเวสสันดรชาดก   หรือเรื่องมหาชาติ  ทั้ง 13 กัณฑ์  ตามลำดับ  ดังนี้
       กัณฑ์ที่ ทศพรา  พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี  ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร  แต่ปางก่อนนั้นผุสดีเทวีเสวยชาติเป็นอัครมเหสีของพระอินทร์  เมื่อจะสิ้นพระชนมายุจึงขอกัณฑ์ทศพรจากพระอินทร์ได้ 10 ประการ  ทั้งยังเคยโปรยผงจันทร์แดง  ถวายพระวิปัสสีพุทธเจ้าและอธิฐานให้ได้เกิดเป็นมารดาพระพุทธเจ้าด้วย พร 10 ประการนั้นมีดังนี้
1.  ขอให้เกิดในกรุงมัททราช  แคว้นสีพี
2.  ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย
3.  ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง
4.  ขอให้ได้นาม "ผุสดี" ดังภพเดิม
5.  ขอให้พระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
6.  ขอให้พระครรภ์งาม  ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
7.  ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
8.  ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ
9.  ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ
10. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
          กัณฑ์ที่ หิมพานต์  พระนางผุสดีจุติลงมาเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช  เมื่อเจริญชนม์ได้ 16 ชันษา  จึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งสีวิรัฐนคร  ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า "เวสสันดร"  ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉันททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึงได้นำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมี ให้นามว่า "ปัจจัยนาค"  เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ 16 พรรษา  พระราชบิดาก็ยกราชสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี  พระราชธิดาราชวงศ์มัททราช  มีพระโอรสชื่อ  ชาลี  พระธิดาชื่อกัณหา  พระองค์ได้สร้างโรงทาน  บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ  ต่อมาพระจ้ากาลิงคะแห่งนครกลิงคราษฎร์  ได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาคเพื่อให้ฝนตกในบ้านเมืองที่แห้งแล้งกันดาร  พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคให้แก่พระเจ้ากาลิงคะ  ชาวกรุงสัญชัยไม่พอใจที่พระราชทานช้างคู่บ้านคู่เมืองไป  จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร
          กัณฑ์ที่ ทานกัณฑ์  พระเวสสันดรทรงมหาสัตตสดกทาน  คือ  การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี  ชาลีและกัณหาออกจากพระนคร  จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตตสดกทาน คือ  การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่  อันได้แก่  ช้าง  ม้า  รถ  โคนม  นารี  ทาสี  ทาสา  รวมทั้งสุราบาน  อย่างละ 700
          กัณฑ์ที่ วนประเวศน์  เป็นกัณฑ์ที่สี่กษัตริย์เดินทางสู่เขาวงกต  เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับหน้าศาลาพระนคร  กษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง  แต่พระเวสสันดรทรงปฏิบัติ กษัตริย์เจตราชจึงมอบหมายให้พรานเจตบุตรผู้มีความเชี่ยวชาญชำนาญป่าเป็นผู้รักษาประตูป่าไม้  กษัตริย์ทั้ง 4พระองค์ปลอดภัย  และเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตได้พบอาศรม  ซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของพระอินทร์ กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤาษีพำนักในอาศรมสืบมา
          กัณฑ์ที่ ชูชก  ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชกพำนักในบ้านทุนวิฐะเที่ยวขอทานตามเมืองต่าง ๆ เมื่อได้เงินถึง 100 กหาปณะ  จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมียแล้วออกเดินทางขอทานต่อไป  เมื่อเห็นว่าชูชกหายไปนานจึงได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว  เมื่อชูชกเดินทางมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูกชก  นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชกได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี  ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยาของตน  หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตีนางอมิตดา  ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อมาเป็นทาสรับใช้  เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพรานเจตบุตรผู้รักษาประตูป่า
          กัณฑ์ที่ จุลพน  พรานเจตบุตรหลงกลชูชก  ที่ได้ชูกลักพริกขิงให้พรานดู  อ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสญชัยจะนำไปถวายพระเวสสันดร  พรานเจตบุตรจึงต้อนรับและเลี้ยงดูชูชกเป็นอย่างดีและได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤาษี
          กัณฑ์ที่ มหาพน  เมื่อถึงอาศรมได้พบกับอจุตฤาษี  ชูกชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤาษีให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร  พร้อมพรรณนาหมู่สัตว์และพรรณไม้ตามเส้นทางให้ชูชกฟัง
          กัณฑ์ที่ กัณฑ์กุมาร  เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก  พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพราก  รุ่งเช้าเมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้ว  ชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอสองกุมาร  สองกุมารลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระ  พระเวสสันดรจึงเสด็จติดตามหาสองกุมารแล้วมอบให้แก่ชูชก
          กัณฑ์ที่ กัณฑ์มัทรี  พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจนคล้อยเย็นจึงเดนทางกลับอาศรม  แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทางจนค่ำ  เมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรสธิดาและพระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ พระนางมัทรีจึงออกเที่ยวหาโอรสธิดาและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์  พระองค์ทรงตกพรทัยลืมตนว่าเป็นดาบสจึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง  เมื่อพระนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษ  พระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสธิดาแก่ชูชกแล้ว  หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบกัน  พระนางมัทรีจึงได้ทรงอนุโมทนาในปิยบุตรทานนั้น
          กัณฑ์ที่ 10 สักรบรรพ  พระอินทร์เกรงว่าพระเวสสันดรจะประทานพระนางมัทรีให้แก่ผู้ที่มาขอ  จึงแปลเป็นพราหมณ์เพื่อมาทูลขอพระนางมัทรี  พระเวสสันดรจึงประทานให้พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จพระสัมโพธิญาณ  เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน  พระอินทร์ในร่างพราหมณ์จึงฝากพระนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป  แล้วตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร ประการ
          กัณฑ์ที่ 11 มหาราช  เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้  ส่วนตนเองปีนขึ้นไปนอนต้นไม้  เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมารจนเดินทางถึงกรุงสีพี  พระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายนั้นนำมายังความปีติปราโมทย์  เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้า  ทอดพระเนตรเห็นชูชกและกุมารทั้งสองพระองค์  ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน  ต่อมาชูชกก็ถึงแก่ความตายเพราะกินอาหารมากเกินขนาดจนไม่ย่อย  พระชาลีจึงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร  ในขณะเดียวกันเจ้านครลิงคราษฏร์ได้คืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี
          กัณฑ์ที่ 12 ฉกษัตริย์  พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา เดือน กับ 23 วัน  จึงเดินทางถึงเขาวงกต  เสียงโห่ร้องของทหารทั้ง 4  เหล่า  ทำให้พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมาโจมจีนครสีพี  จึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา  พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดร  และเมื่อทั้งหกกษัตริย์ได้พบกันทรงกันแสงสุดประมาณ  รวมทั้งทหารเหล่าทัพทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืน  พระอินทร์จึงได้ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมกษัตริย์ให้หายเศร้าโศกและฟื้นพระองค์
          กัณฑ์ที่ 13 นครกัณฑ์  พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด  พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี  และเสด็จกลับสู่สีพีนคร  เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง  ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า  รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน  พระองค์จะประทานสิ่งใดให้แก่ประชาชน  ท้าวโกสีย์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว ประการ  ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง  พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนมาขนเอาไปตามปรารถนา  ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง
ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรม  บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ

คำศัพท์


กำเลาะ

หนุ่ม,สาว

เฉวียง

ซ้าย เอียง ตะแคง ทแยง

ชฎิล

นักบวชประเภทหนึ่ง

ทลิกททก

ยาจน เข็ญใจ

วัปป

การหว่านพืช

สังสารวัฏ

การเวียนเกิดเวียนตาย

 วีดีโอประวิติพระเวสสันดร





ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=kt0PmjC1dHo
ที่มาเนื้อหาทั้งหมด
https://ruangrat.wordpress.com/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%A1-4/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2-%E0%B8%A1-4/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

13 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้องแมวเหมียว

1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก        สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง 2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่ 3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์ เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า แล...